วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562

6.ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรในลักษณะใดได้บ้าง จงอธิบายเปรียบเทียบโครงสร้างองค์กรในลักษณะต่างๆ

61 ความคิดเห็น:

  1. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวสิริรัตน์ ศิริพรทุม 12590086)

    ตอบลบ
  2. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (นางสาวชนาวาส บัววงค์) 12590013

    ตอบลบ
  3. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    (ชนกนาฎ​ สหทรัพย์เจริญ 12590012)

    ตอบลบ
  4. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก อีกประการหนึ่งในแต่ละแผนกนั้น เมื่อทุกคนมีความเชี่ยวชาญงานในหน้าที่ชนิดเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดการประสานงานได้ง่ายเนื่องจากแต่ละคนมีความสนใจในงานและใช้ภาษาเดียวกัน ทำให้สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้ง่ายนอกจากนั้น การบริหารงานก็เกิดความประหยัดด้วย เพราะแต่ละแผนกได้ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสร้างผลิตผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย การใช้เครื่องจักรและแรงงานก็ใช้ได้ผลคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การจัดรูปแบบองค์การแบบนี้ก็มีผลเสียในทางการบริหารหลายประการ อาทิเช่น การแบ่งงานออกเป็นหลายแผนกและมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน ทำให้การวางแผนงานยุ่งยากขึ้น อาจมีการปัดความรับผิดชอบได้ นอกจากนั้นการจัดองค์การรูปแบบนี้มักเน้นที่การรวมอำนาจไว้ ณ จุดที่สูงที่สุด ไม่มีการกระจายอำนาจในการบริหารให้ลดหลั่นลงไป

    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย

    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน แต่ผลเสียของการใช้ที่ปรึกษาอาจมีการปีนเกลียวกัน เนื่องจากความเห็นไม่ลงรอยกัน และฝ่ายคณะที่ปรึกษาอาจท้อถอยในการทำงานได้ เพราะมีหน้าที่เพียงเสนอแนะแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ

    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุมถกเถียงกัน กว่าจะได้ข้อยุติอาจไม่ทันการต่อการวินิจฉัยสั่งการได้ หรืออาจเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระดับคณะกรรมการหรือยอมประนีประนอมกันเพื่อให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็ว ทำให้การตั้งคณะกรรมการไร้ผล

    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น

    (นางสาว สรัสนันท์ บุญมี 12590080)

    ตอบลบ
  5. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (ปวีณา เกตุแย้ม 12590047)

    ตอบลบ
  6. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวอัมรินทร์ เกมอ12590105)

    ตอบลบ
  7. การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ฉะนั้น การที่ผู้บริหารจะวางแนวในการจัดโครงสร้างนั้น อาจจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย การบังคับบัญชาตามสายงานเป็นขั้นตอน ฉะนั้นจุดใดที่มีการปฏิบัติงานล่าช้าก็สามารถตรวจสอบได้รวดเร็ว จากผู้บังคับบัญชาในระดับนั้นได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติงานได้คลุกคลีกับสภาพของปัญหาที่เป็นจริงและเกิดขึ้นเสมอ ทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ มีข้อมูลที่แน่นอน และสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งส่งผลสะท้อนให้มีการปกครองบังคับบัญชาที่อยู่ในระเบียบวินัยได้ดี การติดต่อสื่อสารและการควบคุมการทำงานทำได้ง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุม
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น

    (ศิฌาวี เรือนปัญจะ 12590078)

    ตอบลบ
  8. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (นางสาวปรมาพร สิงขรรัตน์ 12590046)

    ตอบลบ
  9. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นายนภนต์ เจียรนัย 12590040)

    ตอบลบ
  10. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาว ณัฐฐา จินตกวีพันธุ์ 12590020)

    ตอบลบ
  11. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นายธนพล โชครัตน์ประภา 12590033)

    ตอบลบ
  12. การจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 5 ประเภท ดังนี้
    1.โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การทำงาน (Functional Organization Structure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การทำงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้างซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้นๆทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้นๆให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้างๆ
    2.โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึง การจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหลั่นเป็นขั้นๆจะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงานซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่างๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้
    3.โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึง การจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายกฯ  ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.  เป็นต้น  เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษา
    4.โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร  (Committees Organization Structure) หมายถึง การจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น
     5.โครงสร้างองค์การงานอนุกรม (Auxiliary) คือ หน่วยงานช่วย หรือเรียกว่า หน่วยงานแม่บ้าน (House Keeping Agency)ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรกิจและอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายในเป็นต้น
    (นางสาวกรกนก จันทร์พันธุ์ 12590003)

    ตอบลบ
  13. 6. การออกแบบโครงสร้างองค์กร หมายถึงการจัดกลุ่มตำแหน่งงานต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหมวดหมู่เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ เป็นการจัดแบ่งเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ส่วนโครงสร้างตามการตลาดแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ คือการจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดในตลาด และโครงสร้างแบบผสม ซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกัน สุดท้ายโครงสร้างเชิงซ้อน เหมาะกับองค์กรที่มีงานโครงการที่เกิดขึ้นเฉพาะ
    (อารียา ปานทอง 12590109)

    ตอบลบ
  14. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (อภัสสร ปูชนียกุล 12590100)

    ตอบลบ
  15. การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ฉะนั้น การที่ผู้บริหารจะวางแนวในการจัดโครงสร้างนั้น อาจจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย การบังคับบัญชาตามสายงานเป็นขั้นตอน ฉะนั้นจุดใดที่มีการปฏิบัติงานล่าช้าก็สามารถตรวจสอบได้รวดเร็ว จากผู้บังคับบัญชาในระดับนั้นได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติงานได้คลุกคลีกับสภาพของปัญหาที่เป็นจริงและเกิดขึ้นเสมอ ทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ มีข้อมูลที่แน่นอน และสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งส่งผลสะท้อนให้มีการปกครองบังคับบัญชาที่อยู่ในระเบียบวินัยได้ดี การติดต่อสื่อสารและการควบคุมการทำงานทำได้ง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุม
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น (น.ส. อังคณา พิทักษ์สุข 12590104)

    ตอบลบ
  16. การออกแบบโครงสร้างองค์กร หมายถึงการจัดกลุ่มตำแหน่งงานต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหมวดหมู่เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกภายในองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ เป็นการจัดแบ่งเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ส่วนโครงสร้างตามการตลาดแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ คือการจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดในตลาด และโครงสร้างแบบผสม ซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกัน สุดท้ายโครงสร้างเชิงซ้อน เหมาะกับองค์กรที่มีงานโครงการที่เกิดขึ้นเฉพาะ
    (วิลาสินี เกตุแก้ว12590073)

    ตอบลบ
  17. การจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้

    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น
    (พัชมน มนต์วิมลพร 12590053)

    ตอบลบ
  18. การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ฉะนั้น การที่ผู้บริหารจะวางแนวในการจัดโครงสร้างนั้น อาจจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย การบังคับบัญชาตามสายงานเป็นขั้นตอน ฉะนั้นจุดใดที่มีการปฏิบัติงานล่าช้าก็สามารถตรวจสอบได้รวดเร็ว จากผู้บังคับบัญชาในระดับนั้นได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติงานได้คลุกคลีกับสภาพของปัญหาที่เป็นจริงและเกิดขึ้นเสมอ ทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ มีข้อมูลที่แน่นอน และสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งส่งผลสะท้อนให้มีการปกครองบังคับบัญชาที่อยู่ในระเบียบวินัยได้ดี การติดต่อสื่อสารและการควบคุมการทำงานทำได้ง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุม
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น
    (น.ส.ดารารัตน์ ดาสาลี 12590030)

    ตอบลบ
  19. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (บุญธิดา กะตะศิลา 12590043)

    ตอบลบ
  20. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  21. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  22. ข้อ 6
    การจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (อรณิชา ศรีสมัย 12590102)

    ตอบลบ
  23. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีก
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วย
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ
    (นางสาวภิตติมาตุ์ เอื้ออรุณชัย 12590062)

    ตอบลบ
  24. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    2.1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure)
    2.2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Structure)
    2.3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวสุรีรัตน์ สระเกตุ 12590098)

    ตอบลบ
  25. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (จุฬาลักษณ์ สกุลวงวาร 12590010)

    ตอบลบ
  26. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (สิริกร ราชมณี 12590084)

    ตอบลบ
  27. เชาว์ ไพรพิรุณโรจน์ (อ้างใน ศิริอร ขันธหัตถ์, 2536 ) ได้เสนอแนวความคิดว่า การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ฉะนั้น การที่ผู้บริหารจะวางแนวในการจัดโครงสร้างนั้น อาจจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น

    รัญชริดา มะนุ่น 12590067

    ตอบลบ
  28. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    นางสาววชิราพร คำกอง 12590068

    ตอบลบ
  29. 6. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรในลักษณะใดได้บ้าง จงอธิบายเปรียบเทียบโครงสร้างองค์กรในลักษณะต่างๆ
    ตอบ : การออกแบบโครงสร้างทางธุรกิจซึ่งองค์กรนำมาใช้กันโดยทั่วไป 4 ประเภท ได้แก่
    1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ เป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจซึ่งมีหลายประการ เช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน และการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด สามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    -การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า
    -การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า
    -การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์
    3. โครงสร้างแบบผสม เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆ ขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจสำหรับโครงการนั้นๆ และเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆ เสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตน
    นางสาวสุดารัตน์ สุขสาม (รหัส 12590090)

    ตอบลบ
  30. 1.โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก อีกประการหนึ่งในแต่ละแผนกนั้น เมื่อทุกคนมีความเชี่ยวชาญงานในหน้าที่ชนิดเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดการประสานงานได้ง่ายเนื่องจากแต่ละคนมีความสนใจในงานและใช้ภาษาเดียวกัน ทำให้สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้ง่ายนอกจากนั้น การบริหารงานก็เกิดความประหยัดด้วย เพราะแต่ละแผนกได้ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสร้างผลิตผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย การใช้เครื่องจักรและแรงงานก็ใช้ได้ผลคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การจัดรูปแบบองค์การแบบนี้ก็มีผลเสียในทางการบริหารหลายประการ อาทิเช่น การแบ่งงานออกเป็นหลายแผนกและมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน ทำให้การวางแผนงานยุ่งยากขึ้น อาจมีการปัดความรับผิดชอบได้ นอกจากนั้นการจัดองค์การรูปแบบนี้มักเน้นที่การรวมอำนาจไว้ ณ จุดที่สูงที่สุด ไม่มีการกระจายอำนาจในการบริหารให้ลดหลั่นลงไป
    2.โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย
    3.โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน แต่ผลเสียของการใช้ที่ปรึกษาอาจมีการปีนเกลียวกัน เนื่องจากความเห็นไม่ลงรอยกัน และฝ่ายคณะที่ปรึกษาอาจท้อถอยในการทำงานได้ เพราะมีหน้าที่เพียงเสนอแนะแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ
    4.โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุมถกเถียงกัน กว่าจะได้ข้อยุติอาจไม่ทันการต่อการวินิจฉัยสั่งการได้ หรืออาจเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระดับคณะกรรมการหรือยอมประนีประนอมกันเพื่อให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็ว ทำให้การตั้งคณะกรรมการไร้ผล
    5.โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น (ชัชญาณ์ณัฐ ภูวิศภัทรนนท์ 12590110)

    ตอบลบ

  31. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    ดวงหทัย โฉมมา 12590029

    ตอบลบ
  32. การจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้

    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น
    นางสาวภัทราพร ผังรักษ์ 12590061

    ตอบลบ
  33. 1.โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก อีกประการหนึ่งในแต่ละแผนกนั้น เมื่อทุกคนมีความเชี่ยวชาญงานในหน้าที่ชนิดเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดการประสานงานได้ง่ายเนื่องจากแต่ละคนมีความสนใจในงานและใช้ภาษาเดียวกัน ทำให้สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีได้ง่ายนอกจากนั้น การบริหารงานก็เกิดความประหยัดด้วย เพราะแต่ละแผนกได้ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสร้างผลิตผลได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย การใช้เครื่องจักรและแรงงานก็ใช้ได้ผลคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การจัดรูปแบบองค์การแบบนี้ก็มีผลเสียในทางการบริหารหลายประการ อาทิเช่น การแบ่งงานออกเป็นหลายแผนกและมีผู้เชี่ยวชาญหลายคน ทำให้การวางแผนงานยุ่งยากขึ้น อาจมีการปัดความรับผิดชอบได้ นอกจากนั้นการจัดองค์การรูปแบบนี้มักเน้นที่การรวมอำนาจไว้ ณ จุดที่สูงที่สุด ไม่มีการกระจายอำนาจในการบริหารให้ลดหลั่นลงไป

    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย

    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน แต่ผลเสียของการใช้ที่ปรึกษาอาจมีการปีนเกลียวกัน เนื่องจากความเห็นไม่ลงรอยกัน และฝ่ายคณะที่ปรึกษาอาจท้อถอยในการทำงานได้ เพราะมีหน้าที่เพียงเสนอแนะแต่ไม่มีอำนาจสั่งการ

    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุมถกเถียงกัน กว่าจะได้ข้อยุติอาจไม่ทันการต่อการวินิจฉัยสั่งการได้ หรืออาจเป็นการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระดับคณะกรรมการหรือยอมประนีประนอมกันเพื่อให้ได้ข้อยุติที่รวดเร็ว ทำให้การตั้งคณะกรรมการไร้ผล

    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น
    (นางสาว หมายขวัญ นวลอุไร 12590099)

    ตอบลบ
  34. บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    นางสาวพัชรา จูเอี่ยม (12590054)

    ตอบลบ
  35. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    (นางสาวณัฐพร ทองปลิว 12590024)

    ตอบลบ
  36. บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง

    (ณัฐชัญญา ปรินจิตต์ 12590896)

    ตอบลบ
  37. การจัดโครงสร้างขององค์การมีหลายแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียในตัวของมันเอง ฉะนั้น การที่ผู้บริหารจะวางแนวในการจัดโครงสร้างนั้น อาจจะต้องพิจารณาจากหลาย ๆ ปัจจัยด้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง สำหรับฝ่ายบริหารระดับสูงนั้นก็เป็นเพียงแต่กำหนดนโยบายไว้กว้าง ๆ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคอยป้อนข้อมูลที่ถูกต้องให้พิจารณาตัดสินใจและให้มีความผิดพลาดได้น้อยมาก
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต หรือแบ่งตามประเภทของลูกค้า หรือแบ่งตามกระบวนการ ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย การบังคับบัญชาตามสายงานเป็นขั้นตอน ฉะนั้นจุดใดที่มีการปฏิบัติงานล่าช้าก็สามารถตรวจสอบได้รวดเร็ว จากผู้บังคับบัญชาในระดับนั้นได้ง่าย นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติงานได้คลุกคลีกับสภาพของปัญหาที่เป็นจริงและเกิดขึ้นเสมอ ทำให้การตัดสินใจต่าง ๆ มีข้อมูลที่แน่นอน และสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องรวดเร็ว ซึ่งส่งผลสะท้อนให้มีการปกครองบังคับบัญชาที่อยู่ในระเบียบวินัยได้ดี การติดต่อสื่อสารและการควบคุมการทำงานทำได้ง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกที่ปรึกษาไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ นอกจากคอยป้อนข้อมูลให้ผู้บริหารเป็นผู้ชี้ขาดอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งการจัดองค์การรูปแบบนี้มีผลดีคือ ทำให้การดำเนินงานต่าง ๆ มีการวางแผนและประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าได้ มีที่ปรึกษาคอยให้ความกระจ่างและประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ และทำให้การทำงานใช้หลักเหตุและผลมากขึ้น มีการใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และคนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้งานตามสายงานและงานของคณะที่ปรึกษาสัมพันธ์กัน และเข้าใจบทบาทซึ่งกันและกัน
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน นอกจากนั้น การตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลมาจากหลาย ๆ ฝ่ายจะทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาและก่อให้เกิดการยอมรับในปัญหที่ฝ่ายอื่นเผชิญอยู่ทำให้การประสานงานเป็นไปได้ง่ยขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของการใช้ระบบคณะกรรมการก็คือเกิดการสูญเสียทรัพยากรโดยใช่เหตุ เนื่องจากเวลาส่วนใหญ่ใช้ไปในการประชุม
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน เป็นต้น
    (นางสาวสิตานัน หรุ่นทอง 12590082)

    ตอบลบ
  38. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    สุภัทษา สนธิช่วย 12590096

    ตอบลบ
  39. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    สุภัทษา สนธิช่วย 12590096

    ตอบลบ
  40. ไม่ระบุชื่อ10 กันยายน 2562 เวลา 03:53

    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน
    หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก
    หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา
    หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร
    หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร
    คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (อภิษฐา เนียมศิริ 12590101)

    ตอบลบ
  41. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (ศศิพิมพ์ ชัยกุลพัฒนา 12590076)

    ตอบลบ
  42. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    (ภัทรานิษฐ์ กุญแจทอง 12590059)

    ตอบลบ
  43. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง

    กุลปริยา แย้มเกษร 12590005

    ตอบลบ
  44. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    (นางสาวเบญญาภา กรีรถ 12590044)

    ตอบลบ
  45. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional
    Organization Structure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีก
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วย
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ

    ( ศศิมา ปานชงค์ 12590077 )

    ตอบลบ
  46. รูปแบบการจัดโครงสร้างองค์กร ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรได้ 5 ลักษณะ ดังนี้
    1. การจัดแบ่งแผนกตามหน้าที่ (Functional Departmentation) เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากที่สุด โดยจัดตามหน้าที่งานที่ทำ
    2. การจัดแบ่งแผนกตามผลิตภัณฑ์ (Production Departmentation) เป็นวิธีการที่จัดแผนกงานตามประเภทของผลิตภัณฑ์ที่ขายหรือที่ผลิต ซึ่งมักเป็นในองค์กรธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีความแตกต่างกัน
    3. การจัดแบ่งแผนกตามพื้นที่ (Geographical Departmentation) เช่น ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ซึ่งมักเป็นองค์กรใหญ่ที่ต้องมีการกระจายศูนย์ต่างๆไปตามภูมิภาค
    4. การจัดแบ่งแผนกตามกระบวนการหรืออุปกรณ์ (Process or Equipment Departmentation) เป็นการแบ่งตามขั้นตอนการทำงานที่แยกจากกันอย่างชัดเจน หรืองานนั้นต้องใช้อุปกรณ์ที่ต่างกันเช่นในอุตสาหกรรมรถยนต์ มีแผนกเครื่องยนต์ แผนกตัวถังเป็นต้น
    5. การจัดแบ่งแผนกตามลูกค้า (Customer Departmentation) คือลูกค้าที่ต้องการสินค้าเดียวกันจะอยู่ในแผนกเดียวกันซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า และสร้างความชัดเจนในการดูแลลูกค้าแต่ละประเภท
    -การจัดโครงสร้างองค์กรเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเพราะเป็นกรอบในการทำงานซึ่งถ้าไม่ได้ทำอย่างรอบคอบแล้วการทำงานจะดำเนินไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งจะมีผลเสียตามมาทั้งในด้านของงาน และในด้านปัญหาของตัวพนักงานที่จะมีความสับสนและอาจเกิดความขัดแย้งตามมา ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจจัดโครงสร้างองค์กรควรดำเนินการอย่างรอบคอบที่สุดเพื่อความสามารถในระยะยาวขององค์กร
    (ปิยาภรณ์ ชินวงค์พรหม 12590051)

    ตอบลบ
  47. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กร 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business functional Structure) เป็นการจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่การงกิจเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงิน
    ข้อดี คือ ความซ้ำซ้อนในการทำงานและพนักงานเกิดความชำนาญในงานของตนข้อจากัด คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาระหว่างฝ่ายต่างๆทำได้ช้า
    2) โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) สามารถแบ่งได้ 3 ลักษณะคือ 1. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า 2. การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า 3. การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์เป็นการคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด องค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อมห้สอดคล้องกับจำนวน และประเภทของสินค้า/บริการขององค์กร ตลอดจนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆ ได้ดี
    ข้อดี คือ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางการแข่งขันได้อย่างรวดเร็ว
    ข้อจำกัด คือ เกิดความซับซ้อนในการใช้ทรัพยากรบุคคลในแต่ละฝ่าย
    3.โครงครางแบบผสม (Hybrid. Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้าง ซึ่งนำโครงสร้างงตามหน้าที่ทางธุรกิจ และโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    ข้อดี คือ เหมาะสมกับองค์กรณ์ขนาดใหญ่
    ข้อจำกัด คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงเนื่องจากต้องใช้คนจำนวนมาก
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) เหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าครงการแบะสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรจากฝ่านต่างๆขององค์กร
    ข้อดี คือ เกิดความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการใช้ทรัพยากรบุคคล
    ข้อจำกัด คือ อาจเกิดความขัดแย้งระหว่างหัวหน้าโครงการ จากการแย่งชิงบุคลากรที่ต้องการและเกิดความซ้ำซากในการบังคับบัญชา ยากต่อการประสานงาน
    (สุรีรัตน์ ศักดิ์ภิรมย์ 12590954)

    ตอบลบ
  48. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    นางสาวณัฐนรี สีทองสุก 12590022

    ตอบลบ
  49. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (วริศ เอี๊ยวชัยพร 070)

    ตอบลบ

  50. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure) (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture) และ (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวสุชานรี เวียนมานะ 12590089)

    ตอบลบ
  51. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (ศุภิสรา นรินยา 12590717)

    ตอบลบ
  52. การจัดโครงสร้างองค์กร
    1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure)
    (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Struc ture)
    (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure)
    การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (ณัฐฌา ปักกัง 12590019)

    ตอบลบ
  53. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ ซึ่งมีหลายประการเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น การจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนด ซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กร เช่น ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้จัดการฝ่าย เป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure)
    (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Structure)
    (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure)
    การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกันซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้น ๆ และเมื่อการดำเนินการโครงการนั้น ๆ เสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวกชกร เดชกำแหง 12590001)

    ตอบลบ
  54. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (นางสาวคณภัทร์ ศิริโยธิน 12590108)

    ตอบลบ
  55. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ ซึ่งมีหลายประการเช่น การตลาด การผลิต การบัญชี การเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น การจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนด ซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กร เช่น ผู้อำนวยการฝ่าย ผู้จัดการฝ่าย เป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    (1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure)
    (2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Structure)
    (3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure)
    การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้า / บริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกันซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะ โดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่าง ๆ ขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้น ๆ และเมื่อการดำเนินการโครงการนั้น ๆ เสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวอรวี ศรีวิโน 12590103)

    ตอบลบ
  56. การจัดโครงสร้างขององค์การสามารถแบ่งแยกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภทดังนี้
    1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง เช่น แบ่งตามลักษณะของผลิตภัณฑ์ หรือแบ่งตามอาณาเขต ผลดีของโครงสร้างแบบนี้มีหลายประการ เช่น การจัดโครงสร้างด้วยรูปแบบที่เข้าใจง่าย
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น การบริหารงานองค์การโดยให้มีคณะกรรมการบริหารเช่นนี้ ผลดีจะช่วยขจัดปัญหา การบริหารงานแบบผูกขาดของคน ๆ เดียว หรือการใช้แบบเผด็จการเข้ามาบริหารงาน
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน
    (นางสาวศศิประภา ผาดศรี 12590075)

    ตอบลบ
  57. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (น.ส.ชุติกาญจน์ ปานดารา 12590016)

    ตอบลบ
  58. 1. โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) การจัดโครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจเป็นการจัดแบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ10ซึ่งมีหลายประการเช่นการตลาดการผลิตการบัญชีการเงินและการบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นต้นการจัดโครงสร้างองค์กรแบบนี้ ผู้ที่รับผิดชอบงานในแต่ละฝ่ายจะดำรงตำแหน่งตามที่องค์กรกำหนดซึ่งอาจเรียกแตกต่างกันในแต่ละองค์กรเช่นผู้อำนวยการฝ่ายผู้จัดการฝ่ายเป็นต้น
    2. โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดสามารถแบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะคือ
    2.1) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า (Customer Structure)
    2.2) การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า (Product Structure)
    2.3) การจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ (Geographic Structure) การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 แบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาดองค์กรสามารถเลือกจัดเพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนและประเภทของสินค้าหรือบริการขององค์กรตลอดจนสามารถสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านต่างๆได้เป็นอย่างดี
    3. โครงสร้างแบบผสม (Hybrid Structure) การจัดโครงสร้างแบบผสมเป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจและโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน13ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรได้รับข้อดีของการจัดโครงสร้างทั้ง 2 แบบ
    4. โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) การจัดโครงสร้างเชิงซ้อนเหมาะสำหรับองค์กรที่มีงานโครงการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในแต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการและสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กรเพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆและเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้นสมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (นางสาวเอเซีย พิทยาพละ 12590112)

    ตอบลบ

  59. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (ปาลิตา มนัสปัญญากุล 12590049)

    ตอบลบ
  60. 1. โครงสร้างองค์การตามหน้าที่การงาน (Functional OrganizationStructure) หมายถึง โครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นโดยแบ่งไปตามประเภทหรือหน้าที่การงาน เพื่อแสดงให้เห็นว่าในแต่ละแผนกนั้นมีหน้าที่ต้องกระทำอะไรบ้าง ซึ่งผลดีก่อให้เกิดการได้คนมีความสามารถทำงานในแผนกนั้น ๆ ทั้งยังฝึกบุคคลในแผนกนั้น ๆ ให้มีความเชี่ยวชาญกับหน้าที่ของงานนั้นอย่างลึกซึ้ง
    2. โครงสร้างองค์การตามสายงานหลัก (Line Organization Structure) หมายถึงการจัดรูปแบบโครงสร้างให้มีสายงานหลัก และมีการบังคับบัญชาจากบนลงล่างลดหั่นเป็นขั้น ๆ จะไม่มีการสั่งการแบบข้ามขั้นตอนในสายงาน ซึ่งโครงสร้างแบบนี้เหมาะสมสำหรับองค์การต่าง ๆ ที่ต้องการให้มีการขยายตัวในอนาคตได้ เพราะเพียงแต่เพิ่มเติมโครงสร้างในบางสายงานให้มีการควบคุมบังคับบัญชาลดหลั่นลงไปอีกได้ การจัดองค์การแบบนี้ อาจจะคำนึงถึงสภาพของงานที่เป็นจริง
    3. โครงสร้างองค์การแบบคณะที่ปรึกษา (Staff Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างโดยการให้มีที่ปรึกษาเข้ามาช่วยการบริหารงาน เช่น ที่ปรึกษานายก ฯ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. เป็นต้น เพราะว่าที่ปรึกษามีความรู้ ความชำนาญเฉพาะด้าน โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหรือคอยแนะนำ ทำให้องค์การมองเห็นความสำคัญของการมีที่ปรึกษาขึ้น
    4. โครงสร้างองค์การแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) หมายถึงการจัดโครงสร้างองค์การโดยให้มีการบริหารงานในลักษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหารงานรถไฟแห่งประเทศไทย คระกรรมการ อสมท. และคณะกรรมการบริหารบริษัทเจริญโภคภัณฑ์
    5. โครงสร้างองค์การงานอนุกร (Auxiliary) คือหน่วยงานช่วย บางทีเรียกว่าหน่วยงานแม่บ้าน (House-keeping agency) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับธุรการ และอำนวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และงานตรวจสอบภายใน

    (สมภพ ขุนทรง 12590079)

    ตอบลบ
  61. ผู้บริหารสามารถจัดโครงสร้างองค์กรมี 4 ลักษณะ
    1.โครงสร้างตามหน้าที่ธุรกิจ (Business Functional Structure) เป็นการจัดเเบ่งความรับผิดชอบตามหน้าที่ทางธุรกิจ เช่น การตลาด การเงิน การผลิต การบัญชี เเละบริหารทรัพยากรบุคคล
    2.โครงสร้างตามการตลาด (Market Driven Structure) การจัดโครงสร้างตามการตลาดเเบ่งย่อยได้ 3 ลักษณะ การจัดโครงสร้างตามกลุ่มลูกค้า การจัดโครงสร้างตามกลุ่มสินค้า เเละการจัดโครงสร้างตามภูมิศาสตร์ การจัดโครงสร้างองค์กรทั้ง 3 เเบบนี้เป็นการจัดโครงสร้างองค์กรที่คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดทางการตลาด
    3.โครงสร้างเเบบผสม (Hybrid Structure) เป็นการจัดโครงสร้างซึ่งนำโครงสร้างตามหน้าที่ทางธุรกิจ เเละโครงสร้างตามการตลาดมาผสมกันในระดับการบริหารเดียวกัน
    4.โครงสร้างเชิงซ้อน (Matrix Structure) สำหรับองค์กรที่มีงานโครงสร้างการเกิดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยทีมงานผู้รับผิดชอบในเเต่ละโครงการจะประกอบด้วยหัวหน้าโครงการเเละสมาชิกซึ่งได้รับการจัดสรรมาจากฝ่ายต่างๆขององค์กร เพื่อมารวมตัวกันเป็นการเฉพาะกิจเฉพาะสำหรับโครงการนั้นๆเเละเมื่อการดำเนินการโครงการนั้นๆเสร็จสิ้น สมาชิกของทีมงานในโครงการก็จะกลับคืนสู่ฝ่ายต้นสังกัดเดิมของตนเอง
    (ธนสิทธิ์ อาจอ่อนศรี 12590036)

    ตอบลบ